รวมคำพิพากษาศาลฎีกา » ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

27 มิถุนายน 2025
78   0

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3363.สินสมรสที่ยังไม่ได้แบ่งกันระหว่างสามีภริยาถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวม คู่กรณีต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมก่อน จึงจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6063/2567 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 มีข้อความว่า “หากจำเลยสามารถตรวจสอบพบว่าโจทก์ยังมีทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในข้อ 2 ตั้งแต่สมรสจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2563 โจทก์ยอมให้จำเลยบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นที่ตรวจพบดังกล่าวได้ทันที โดยที่คู่ความทั้งสองฝ่ายจะไม่โต้แย้งหรือพิสูจน์กันอีกว่าเป็นสินสมรสหรือไม่” เมื่อภายหลังจำเลยตรวจพบว่าโจทก์มีทรัพย์สินอื่นตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 หลายรายการ จำเลยย่อมใช้สิทธิขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้กึ่งหนึ่งทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์อีกว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือไม่ แต่การใช้สิทธิขอแบ่งทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนั้นจำต้องพิจารณาว่าเป็นการบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีและการบังคับคดีที่ดำเนินการทางศาล โดยศาลชั้นต้นจะออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเฉพาะกรณีที่การบังคับคดีต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น

เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้เป็นการแบ่งสินสมรสที่ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน หากได้ความว่ายังคงมีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์และจำเลยตกลงรับกันแล้วว่าเป็นสินสมรสอยู่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 และสินสมรสนั้นยังไม่ได้แบ่ง สินสมรสดังกล่าวถือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทั้งสองฝ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 ซึ่งกฎหมายได้กำหนดขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สินกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 การแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในมาตรา 1364 ก่อน ซึ่งตามมาตรา 1364 นี้ ศาลชั้นต้นสามารถมีคำสั่งให้เอาทรัพย์สินอื่นตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ออกแบ่งได้ ถ้าโจทก์กับจำเลยไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวอย่างไรโดยจำเลยไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ในชั้นนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์สินกันได้หรือไม่ อย่างไร กรณีจึงยังไม่มีขั้นตอนการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดี หากเมื่อศาลมีคำสั่งให้แบ่งทรัพย์สินกรณีที่โจทก์กับจำเลยไม่ตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน จำเลยย่อมมีสิทธิขอออกคำบังคับและดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีต่อไปได้ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ไม่ว่าจะเป็นในฐานที่เป็นหนี้เงินหรือนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันกันคนละครึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

(หมายเหตุ 1 โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากันได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยระบุเกี่ยวกับทรัพย์สินว่า หากจำเลยพบว่าโจทก์มีทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้ถือว่าเป็นสินสมรส

2 ต่อมาจำเลยทราบว่า โจทก์มีทรัพย์สินอื่นอีก จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และศาลได้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของโจทก์

3 เจ้าพนักงานบังคับคดี เห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยต้องติดตามเอาทรัพย์สินของตนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1336 เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีอำนาจบังคับคดีได้

4 จำเลยจึงได้มายื่นคำร้องต่อศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

5 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2564 และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับการกำหนดวิธีการและการดำเนินการบังคับคดีอื่น

6 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การใช้สิทธิขอแบ่งทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนั้น จำต้องพิจารณาว่าเป็นการบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีและการบังคับคดีที่ดำเนินการทางศาล โดยศาลชั้นต้นจะออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเฉพาะกรณีที่การบังคับคดีต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น

7 และศาลฎีกายังวินิจฉัยว่า สินสมรสนั้นยังไม่ได้แบ่ง สินสมรสดังกล่าวถือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทั้งสองฝ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 และมีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษายืน)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 1363, 1364)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849