ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3665.ชิงทรัพย์หมวกนิรภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2568 ในการชิงทรัพย์จำเลยสวมหมวกนิรภัย ทั้งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดก่อนเกิดเหตุปรากฏว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก โดยจำเลยมิได้สวมหมวกนิรภัย แต่ช่วงเวลาที่จำเลยก่อเหตุชิงทรัพย์คดีนี้แล้วหลบหนีไป จำเลยสวมหมวกนิรภัย หากจำเลยมีเจตนาที่จะป้องกันภยันตรายจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัยอันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเคร่งครัด ไม่มีเจตนาที่จะปิดบังอำพรางใบหน้าในการกระทำความผิดแล้ว จำเลยย่อมต้องสวมหมวกนิรภัยมาตั้งแต่ขณะขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก การที่จำเลยเพิ่งสวมหมวกนิรภัยก่อนเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาสวมหมวกนิรภัยเพื่อปิดบังใบหน้าอันเป็นการทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้ในขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ หาใช่เป็นการสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์บนท้องถนนอันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกตามที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ จำเลยปิดบังใบหน้าด้วยหมวกนิรภัย อันเป็นการทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม จึงเป็นการชิงทรัพย์ที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 335 (5) วรรคหนึ่ง จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี
(หมายเหตุ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดในขณะที่มีอายุเพียง 18 ปี เศษเท่านั้น จำเลยน่าจะยังมีความรู้สำนึกผิดชอบไม่มากนัก ยังปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าผู้เสียหายได้รับของกลางคืนแล้ว และจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,500 บาท แก่ผู้เสียหายแล้ว โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก และจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ โดยเพียงแต่บิดกุญแจรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายให้เครื่องยนต์ดับจนผู้เสียหายขับรถต่อไปไม่ได้ แล้วจำเลยพูดขอหมวกนิรภัยจากผู้เสียหายและทำท่าทางข่มขู่จนผู้เสียหายกลัวและส่งมอบหมวกนิรภัยให้แก่จำเลย โดยไม่มีพฤติการณ์ร้ายแรงอื่น การกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่นประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งจำเลยต้องขังในระหว่างฎีกามานาน 1 ปีเศษแล้ว น่าจะหลาบจำ เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ การศึกษา การพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 76 และพิเคราะห์แล้วจำเลยไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิดหรือประพฤติปฏิบัติอันร้ายแรงอื่นมาก่อน การกระทำของจำเลยครั้งนี้ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้นได้ เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย)
(หลักกฎหมาย ป.อ.มาตรา 335 (5), 339, 340 ตรี)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849