รวมคำพิพากษาศาลฎีกา » ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ

20 กรกฎาคม 2025
376   0

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ

3690.ขายลดเช็คไม่อยู่ในบังคับห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

คำพิพากษาฎีกาที่ 4300/2567 (เล่ม 11 หน้า 2574) จำเลยที่ 2 นำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ โจทก์จะหักเงินออก ร้อยละ 2 ต่อเดือนจากยอดเงินที่ปรากฏตามเช็คคำนวณตั้งแต่วันที่นำเช็คมาแลกเงินจากโจทก์จนถึงวันที่ครบกำหนดชำระเงินตามเช็คแล้วจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ก็นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องนำ ต้นเงินและดอกเบี้ยไปคืนโจทก์อีก ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่มีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินแต่มีลักษณะเป็นการขายลดเช็ค ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอัตราไว้ ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ที่นำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ไม่ตกเป็นโมฆะ

จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในเช็คพิพาท โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทอยู่ในครอบครองของโจทก์ในฐานะเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง โจทก์เป็นผู้ทรงและได้รับประโยชน์จาก ป.พ.พ. มาตรา 900 วรรคหนึ่ง , 914 , 967 วรรคหนึ่ง และมาตรา 989 วรรคหนึ่ง ว่าเมื่อเช็คนั้นได้นำยื่นโดยชอบแล้วจะได้รับใช้เงินตามเนื้อความแห่งเช็ค ถ้าและเช็คนั้นธนาคารไม่ยอมจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายหรือจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองเป็นคู่ความร่วมในคดีที่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ต่างยื่นฎีกาแยกกัน โดยจำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลมาเต็มตามทุนทรัพย์ชั้นฎีกา จำเลยที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลมาบางส่วนโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล นอกจากนี้เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่าค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสองต้องชำระในกรณียื่นฎีการ่วมกัน ศาลฎีกาให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่จำเลยทั้งสองตามส่วนของค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสองแต่ละคนได้ชำระไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคห้า

(หมายเหตุ 1 พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 บัญญัติว่า “บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงิน หรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษ…..(1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมาย กำหนดไว้….” เป็นบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราในการกู้ยืมเงินเท่านั้น ไม่ได้ใช้บังคับในกรณีอื่น

2 จำเลยที่ 1 ฎีกาทำนองว่า พฤติการณ์ที่โจทก์หักส่วนลดในการที่จำเลยที่ 2 นำเช็คพิพาททั้ง 6 ฉบับไปแลกเงินสดจากโจทก์ไว้ในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ซึ่งมีโทษทางอาญาจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คพิพาททั้ง 6 ฉบับมาฟ้อง

3 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่มีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินแต่มีลักษณะเป็นการขายลดเช็ค ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอัตราไว้)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 150 ป.วิ.พ.มาตรา 84/1 , 150 พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849